เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๕ ต.ค. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

บวชพระ เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ เทศนาโปรดญาติโยมนะ อนุปุพพิกถา เรื่องของทาน เรื่องของศีล เรื่องของเนกขัมมะ แล้วเรื่องของอริยสัจ ถ้าจิตมันสงบแล้วไง

นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดมากรรมพาเกิด เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วพบพระพุทธศาสนา หน้าที่ของมนุษย์ มนุษย์ทุกคนเกลียดความทุกข์อยากมีความสุข แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดถึงอริยสัจนะ ว่าทุกข์เป็นความจริง ทุกข์เป็นอริยสัจ

ทุกข์คืออะไร ทุกข์คือชาติปิ ทุกขา.. ความเกิดนะ ชาติความเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการเรื่องของทรัพย์ เห็นไหม บอกว่ามนุษย์สมบัติเป็นอริยทรัพย์ ถ้าไม่มีมนุษย์สมบัติ เราเกิดมาไม่เป็นมนุษย์ เราพบพระพุทธศาสนา เราจะเอาอะไรมาทำคุณงามความดีกัน

แต่เวลาข้อเท็จจริงในปรมัตถธรรม เห็นไหม ชาติปิ ทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เพราะความเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ความเกิด พอเกิดขึ้นมา มีสถานะ มีต่างๆ มันมีสิ่งที่รองรับ แต่ความเกิดอันนี้มันจะทำคุณงามความดีได้ ทำความชั่วบาปอกุศลได้ ทำบุญกุศลก็ได้ แต่เพราะมีมนุษย์แล้วพบพุทธศาสนา

พุทธศาสนามันจำแนกตรงนี้ไง จำแนกที่ว่าคนเราเกลียดทุกข์อยากมีความสุข ทีนี้อยากมีความสุข ความปรารถนาความสุข สุขเกิดจากอะไร สุขเกิดจากอำนาจวาสนาบารมี เราได้สร้างบุญกุศลมา เราได้สร้างอำนาจวาสนามา ชีวิตของเรานี่พออาศัยได้ แต่คนเราเกิดมาบางคนนะ บางคนจริงๆ นะ เกิดมาทั้งชีวิต ทุกข์ทั้งชีวิตเลยนะ คนจะช่วยเหลือเจือจานขนาดไหนก็ทุกข์

ในพระไตรปิฎก มีพระอรหันต์องค์หนึ่งฉันข้าวไม่เคยอิ่มเลย จนร่ำลือไปทั่ว เป็นพระอรหันต์นะ จนเรื่องเข้าไปถึงพระสารีบุตร พระสารีบุตรก็ยังไม่เชื่อ ก็ไปดูไง ไปถามว่า

“จริงหรือ? จริงหรือ?”

“จริง”

พอจริงแล้วพระสารีบุตรนี่สงสารมาก บอกว่า “วันนี้ฉันให้อิ่มนะ” พระสารีบุตรจับบาตรไว้เลยนะ พอเวลาจับบาตรไว้ เพราะบารมีของพระสารีบุตรนี่ข้าวในบาตรมันมีอยู่ แต่พอพระสารีบุตรปล่อยบาตรนะข้าวจะหายไป

โดยกรรมนะ โดยกรรมของพระองค์นั้น ฉะนั้นพอพระสารีบุตรจับบาตรไว้ บอกให้ฉันให้อิ่มเลย คนเราเกิดมาไม่เคยฉันข้าวอิ่มเลย นี่เวลาเราอ่านพระไตรปิฎกนะเราจะมาคิดเทียบเคียงกับความเป็นอยู่ของเรา เราเกิดมาทั้งชีวิตนี่นะ เราไม่เคยกินข้าวอิ่มทั้งชาติเลย มันจะหายไปโดยธรรมชาติของมัน

นี่พูดถึงเวลากรรม เกิดมานี่กรรมดีทำให้ชีวิตเราประสบความสำเร็จพอสมควร แต่ถ้ากรรม เห็นไหม เกิดมาเหมือนกัน อริยทรัพย์เหมือนกัน มนุษย์เป็นอริยทรัพย์ เพราะเกิดมามีอริยทรัพย์นะ เกิดมาประพฤติปฏิบัติขนาดนั้น เป็นพระอรหันต์ขนาดนั้นแล้ว ทำไมกรรมอย่างนี้ยังติดตัวมาล่ะ

ดูอย่างพระโมคคัลลานะ เห็นไหม อัครสาวกเบื้องซ้าย มีฤทธิ์มีเดชมาก เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม มาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ตระกูลนั้น คนนั้น ชาตินั้น เขาตายแล้วไปเกิดที่นั่นๆ พระพุทธเจ้าบอกใช่ๆๆ พระพุทธเจ้าพยากรณ์ตลอดเวลา แต่พอถึงเวลากรรมของตัวเองมา มีพวกโจรเขาจะทำลายศาสนา คนที่เป็นหลักในพุทธศาสนาคือพระโมคคัลลานะ พระโมคคัลลานะเหาะเหินเดินฟ้าไปเที่ยวนรกสวรรค์มาแล้วกลับมาบอก นี่ต้องฆ่าพระโมคคัลลานะก่อน

นี่โดยกรรมปัจจุบัน เขาต้องทำลายพระโมคคัลลานะก่อน แอบมาทำลายถึง ๓ หน เหาะหนีๆ นะ ถึงที่สุดแล้วมันเป็นเพราะเหตุใด นี่ในปัจจุบันนั้นเป็นเพราะเรื่องลัทธิศาสนา แต่ในความเป็นจริงคือเป็นกรรมของพระโมคคัลลานะนั่นเอง เพราะโมคคัลลานะอดีตชาติมาเคยทำร้ายแม่ไว้

นี่กรรรม กรรมพาให้เราเกิดนะ เราเกิดมาโดยกรรม เกิดมาโดยพ่อโดยแม่ ในชาติปัจจุบันนี้เวลาบวชเป็นพระเป็นเจ้าขึ้นมาพ่อแม่ได้บุญ ๑๖ กัป ได้บุญ ๑๖ กัปเพราะอะไร เพราะเลือดเนื้อเชื้อไขของแม่มาค้ำศาสนา เลือดเนื้อเชื้อไขคือดีเอ็นเอ คือกรรมพันธุ์ คือเรื่องของร่างกาย แต่เรื่องของจิตใจเรา จิตใจเราก็มีบุญกุศล ถ้าไม่มีบุญกุศลเราจะใฝ่ธรรมหรือ เราจะมาบวชหรือ

ในบุญในกรรม เกิดมาเป็นมนุษย์พบพุทธศาสนา พอลูกบวชแล้วนี่พ่อแม่ได้ ๑๖ กัป เห็นไหม บวชแล้วเราพยายามจะศึกษาของเรา อันนั้นเป็นบุญกุศลของเรานะ.. การบวช บวชมาแล้วทำคุณงามความดีมันก็เป็นบุญของเรา ถ้าบวชมาแล้วนะเวลาประพฤติปฏิบัติไปมันจะมีอุปสรรค เวลามีอุปสรรคขึ้นมาเราจะท้อแท้ เราจะเหนื่อยล้าของเรา เราต้องพลิกแพลงใจของเรา มันเป็นเรื่องอำนาจวาสนาบารมี

อย่างเช่น เวลานั่งสมาธิภาวนา บางคนภาวนาง่าย บางคนภาวนายาก นี่พูดถึงบัว ๔ เหล่า ผู้ที่ประพฤติง่ายปฏิบัติง่าย ขิปปาภิญญา.. ผู้ที่ปฏิบัติยากรู้ยาก ปฏิบัติยากรู้ง่าย ปฏิบัติง่ายรู้ยาก เห็นไหม ปฏิบัติง่ายๆ แต่มันรู้ได้ยากมันต้องอาศัยเวลามาก เวลาปฏิบัติได้ยากรู้ยากก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ปฏิบัติยากรู้ง่าย นี่มันเป็นการกระทำมา

พอมีการกระทำมาปั๊บเราก็ย้อนมาในปัจจุบันนี้ ถ้าในปัจจุบันนี้เรามีสติเรามีปัญญาของเรา สิ่งใดเกิดขึ้นมากับเรา ถ้าเรามีสติปัญญายับยั้งของเราได้ เห็นไหม แพ้เป็นพระ! แพ้เป็นพระนะ ทางโลกเขา นี่เราควบคุมใจของเราได้ เราไม่กระทบกระเทือนไปกับใคร สิ่งที่กระทบกระเทือนนี่ลิ้นกับฟัน มันเป็นเรื่องธรรมดา ฝนตกแดดออกเป็นธรรมชาติของมัน

สัตว์มนุษย์ สัตว์การเมือง สัตว์สังคม มันต้องมีการกระทบกระทั่งเป็นเรื่องธรรมดา คำว่าธรรมดา ถ้ามันกระทบกระทั่งแล้ว ถ้าเราควบคุมใจของเราได้ ถ้ามีการทบกระทั่งกัน คนที่โกรธให้เราแล้วเราโกรธตอบ เราโง่กว่าเขา เวลาคนโกรธให้เรา คนหาเรื่องกับเรา มันเป็นที่อำนาจวาสนา เป็นที่การฝึกสตินะ ถ้าเราควบคุมได้ เห็นไหม นี่แพ้เป็นพระ

พระตรงไหน พระเป็นผู้ประเสริฐไง พระเป็นผู้ประเสริฐ นี่ถ้าเราคุมของเราได้เพราะอะไร เพราะการทำดี อำนาจวาสนาบารมี เห็นไหม ขันติธรรม! คนที่มีอำนาจวาสนามากข่มขี่เรา เหยียบย่ำเรา เราทนได้ นี่ขันติอย่างหยาบๆ คนที่เสมอกันเขาข่มขี่เรา เขาทำลายเรา นี่ขันติอย่างกลาง คนที่ต่ำต้อย คนที่ไม่มีอำนาจวาสนาสิ่งใดเลย

อย่างเช่นพระโพธิสัตว์ อย่างเช่นพระเวสสันดร ชูชกเป็นขอทาน พระเวสสันดรเป็นกษัตริย์ เห็นไหม ดูสิ ขอทานกับกษัตริย์มันเทียบอะไรกันได้ แล้วเขามาขอลูกไป แล้วเขาตีต่อหน้า นี่คนที่ต่ำต้อย คนที่ไม่มีค่าเลย แต่เหยียบย่ำหัวใจของพระเวสสันดร.. นี่ขันติธรรม ธรรมอันนี้ประเสริฐมากนะ แพ้เป็นพระไง แต่ทางโลกเขารับไม่ได้ ทางโลกว่าศักดิ์ศรี ความมีศักดิ์ศรีของเรา เรายอมใครไม่ได้ทั้งสิ้นเลย ยอมแล้วเสียศักดิ์ศรี

เรายอมเขานะ เราไม่ใช่ยอมเขาโดยที่ว่าเราไม่รู้สิ่งใดๆ เลย เราไม่ได้ยอมเขาเลย แต่เรารักษาใจของเรา เราดูแลใจของเรา เห็นไหม สิ่งที่กระทบกระทั่งเราเหมือนลิ้นกับฟัน เขาเข้าใจผิด เขาเข้าใจถูก เขาเข้าใจผิดมา เขาได้รับข่าวสารที่ผิดมา เขาติเตียนเรา นั่นก็เรื่องของเขา แต่ถ้าเขาตั้งใจจะทำร้ายเรา ก็เป็นเวรกรรมของเขา แต่ถ้าเรารักษาใจของเราได้ สิ่งนี้นี่ขันติธรรม

ถ้ามีขันติธรรมนะ การดำรงชีวิตของเรามันจะพออยู่ได้ มันเป็นไปได้ แต่ถ้าว่าขันติธรรมอย่างนี้ เขารังแกเราอย่างนี้ เขาทำลายเราขนาดนี้ พอปล่อยแล้วคนๆ นี้จะเสียหาย คนนี้เขาจะมารังแกคนอื่นต่อๆ ไป เขารังแกคนอื่นต่อๆ ไป ถ้าเขาไปเจอของจริงเข้า เขาก็ต้องโดนเวรกรรมตอบสนองเขา แต่ถ้าเราตอบสนอง เราโต้แย้งเขาไป นี่มันเป็นสิ่งที่สร้างเวรสร้างกรรมต่อไป เพราะสิ่งนี้มันจะมีมาของมันนะ

นี่พูดถึงว่าเรามีกรรมดี เราปรารถนาดี เราจะประพฤติปฏิบัติสิ่งที่ดี เห็นไหม เวลาปฏิบัติแล้วในหัวใจของเรามันก็ยังขัดแย้งกับเราตลอดไป เราต้องชนะ.. ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “ชนะตนสำคัญที่สุด” แล้วชนะใจของเรา เห็นไหม ชนะความโกรธของเรา ชนะทุกๆ อย่างของเรา

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ ท่านบอกเลยนะ ลูกศิษย์ลูกหาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่สาวก สาวกะ ท่านเปรียบเหมือนดิน ท่านจะปั้นหม้อปั้นไห ท่านจะไม่เคยปราณีเลย ท่านจะนวดของท่าน ท่านจะทำของท่าน ท่านบอก

“คำว่าเมตตาสงสารนี่ มันเป็นความเมตตาสงสาร แต่เป็นครูเป็นอาจารย์ของเขา พยายามจะชักนำเขาเป็นอุบายวิธีการ จะบอกให้เขารู้ตัว เราจะบอกเขาอย่างไร?”

นี่ไง เหมือนดิน.. นายช่างปั้นหม้อ เขาจะปั้นหม้อของเขา เขาต้องนวดดินของเขา เขาต้องเตรียมพร้อมของเขา ด้วยความเมตตาของเขา

นี่ก็เหมือนกัน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมตตานะ จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ มันต้องรื้อสัตว์ขนสัตว์ในหัวใจ ความที่รื้อสัตว์ขนสัตว์ในหัวใจ นี่สัตว์นะ สัตตะผู้ข้อง สัตตะคือมนุษย์ สัตตะคือหัวใจ สัตตะคือจิตที่เวียนตายเวียนเกิดนี้

เราเกิดโดยกรรม นี่กรรมพาเราเกิดมา เกิดมาด้วยสภาวะกรรม เราเกิดมาเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นญาติพี่น้องกันมา เรามีเวรมีกรรมร่วมกันมาทั้งนั้นแหละ สิ่งที่มีเวรมีกรรมร่วมกันมา นี่เกิดมาแล้วถึงเป็นสังคมขึ้นมา เวลาบวชขึ้นมาตระกูลของเราได้บุญกุศล

คำว่าได้บุญกุศลนะ บุญกุศลนี่เป็นเรื่องอะไรล่ะ เป็นเรื่องนามธรรม บุญคือเรื่องของหัวใจ บุญคือความรับผิดชอบจากหัวใจ แต่เวลาหน้าที่การงานของเราล่ะ เราขาดคนไป เราขาดสิ่งต่างๆ ไป นี่สิ่งนี้มันขาดตกบกพร่องไป ความขาดตกบกพร่องนั้นเราเห็นแต่เฉพาะตอนนี้ไง

แต่ถ้าเป็นข้อเท็จจริงนะ คนเราเกิดมานี่ใครบ้างไม่ตาย ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด แต่ตายอย่างไร ตายที่ไหน ตายเมื่อไหร่เท่านั้นเอง

นี่ก็เหมือนกัน การพลัดพรากอย่างนี้เป็นการพลัดพรากที่ยังมีชีวิตอยู่ พลัดพรากที่เห็นกันอยู่ เห็นไหม ทำคุณงามความดีที่เรายังเห็นหน้ากันอยู่ แต่มันเป็นจริงตามสมมุตินะ

พูดถึงสมมุติๆ นี่บวชพระนี้ก็เป็นสมมุติ ถ้าเป็นสมมุติต้องสมมุติด้วยความเป็นจริงสิ ถ้าสมมุติตามความเป็นจริง เห็นไหม นั่งสมาธิภาวนานี่สมมุติทั้งนั้นเลย สมาธิคือสมมุตินะ เพราะมันเป็นอนิจจัง สรรพสิ่งเป็นอนิจจัง แต่ถ้ามันทำไปแล้วนี่สมมุติบัญญัติ พอสมมุติบัญญัติมันพ้นจากนั้นมันเป็นวิมุตติได้

นี่ความจริงแท้มันมีอยู่ กับสิ่งที่เป็นความจริงปลอมๆ มันคุมอยู่นะ ความจริงของเรานี่ ความจริงจอมปลอมมันห่อหุ้มอยู่ เพราะมีอวิชชามันห่อหุ้มใจดวงนี้อยู่ แต่ถ้าเข้าไปถึงที่สุดแล้ว จากสมมุติบัญญัติแล้วมันจะเป็นวิมุตติขึ้นไป

นี่ก็เหมือนกัน การกระทำของเรานี่เป็นสมมุติก็ต้องสมมุติกันไปก่อน ต้องสมมุติไปก่อน เพราะมันเกิดมานี่มันจริงตามสมมุติ มันเป็นความจริงหมดนะ ชีวิตนี้เป็นความจริงอันหนึ่ง เกิด เกิดจริงๆ อันหนึ่ง ทุกข์ ทุกข์จริงๆ อันหนึ่ง แต่ความทุกข์นี่ เห็นไหม สิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา.. แต่ความเป็นอนัตตาของมัน มันเป็นอนัตตาโดยเนื้อหาสาระของมัน แต่เราไม่ได้ประโยชน์จากมันเลย เราไม่ได้ประโยชน์จากมันนะ

นี่ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เราก็ว่าชีวิตนี้คืออะไร ชีวิตนี้มาจากไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาย้อนอดีตชาติบุพเพนิวาสานุสติญาณ เห็นไหม ชาติที่แล้วเป็นพระเวสสันดร นี่ชีวิตนี้มาจากไหน? จิตนี้มาจากไหน? จิตนี้เกิดมาอย่างไร?

แล้วเกิดมาในปัจจุบันนี้ นี่ถ้าในปัจจุบันนี้ที่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่เกิดขึ้นมา มันจะเป็นจุตูปปาตญาณ มันจะเกิดเป็นอนาคตต่อไป มันจะมีแรงขับของมันต่อไป แต่ขณะที่ปัจจุบันธรรมมันแก้ไขขึ้นมา มันสิ้นสุดกระบวนการของมัน นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เพราะเราเกิดมา เห็นไหม เราเกิดมาแล้วพบพุทธศาสนา พุทธศาสนาสอนอย่างนี้ นี่ธรรมะเป็นอนัตตา..ธรรมะเป็นอนัตตา..ธรรมะเป็นธรรมชาติ.. มันก็เป็นของมันอยู่แล้ว แล้วเราได้อะไร เพราะเราก็เกิดมาในความเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง เราก็เวียนตายเวียนเกิดมาโดยกฎธรรมชาติอันนี้ เราก็เกิดมากับมัน แล้วเราต้องศึกษาธรรมะ แล้วธรรมะก็บอกไว้อย่างนั้น แล้วเรารู้อะไรล่ะ?

เราไม่รู้อะไรเลยเพราะเรารู้ไม่จริง นี่มันเป็นข้อเท็จจริงของมัน ชีวิตมันเป็นความจริงอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่เราเข้าไม่ถึงเห็นไหม ในการประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง เราเกิดมาแล้ว เราต้องทำตามสัจธรรม

จริงตามสมมุติ! ชีวิตนี้ก็เป็นสมมุติ ทุกอย่างเป็นสมมุติทั้งนั้นแหละ แต่สมมุตินี่มันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แล้วเราเอาบัญญัติของพระพุทธเจ้ามาตีแผ่นะ เหมือนเป็นภาษาสากล อย่างเช่นเวลาจิตสงบเข้ามา สมาธิเป็นสากลถ้าเป็นสัมมาสมาธินะ แต่ในสมาธินี่เป็นอจินไตย อจินไตยเพราะว่าอจินไตย ๔ พุทธวิสัย กรรม โลก ฌาน

ทีนี้ความเป็นอจินไตย คือมันกว้างขวางจนไม่สามารถแยกแยะได้ว่าของใครแค่ไหน แต่เวลาประพฤติปฏิบัติ นี่ความอจินไตย ความว่างๆ ที่ว่าว่างๆ ว่างๆ กันนั่นน่ะ มันว่างของใคร มันว่างไม่มีเจ้าของ มันว่างไม่มีผู้ปฏิบัติ มันว่างไม่มีผู้บริหารจัดการมัน เพราะมันไม่มีสติ มันไม่เป็นความจริง

มันเป็นธรรมชาติ ใช่ มันเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติคือสวะไง เกิดมาแล้วมันเป็นผลของวัฏฏะ คือสวะมันเวียนตายเวียนเกิด จิตนี้เหมือนเศษฝุ่นเลย มันเวียนไปตามลมพัด ลมพัดมันก็เวียนของมันไป ลมพัดไปที่ไหนมันก็ไปตกที่นั่น จิตมันไปเกิดที่ไหนมันก็ไปตามที่นั่น เพราะมันไม่มีเจ้าของไง แต่พอตั้งสติขึ้นมา เห็นไหม พอตั้งสติขึ้นมาแล้วกำหนดพุทโธ พุทโธ หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิขึ้นมา มันจะมีสติ มันจะมีเจ้าของของมัน

ความว่างมีเจ้าของ! ความว่างมีสติ ความว่างมีผู้ควบคุม ความว่างมีผู้บริหารจัดการมัน ไม่ใช่ธรรมะเป็นธรรมชาติ มันเป็นธรรมดา ..ธรรมดาก็มุดหัวลงดินไปก็ธรรมดา หัวปักดินไปมันก็ธรรมดานั่นล่ะ แต่ธรรมดาใครไปดูแลมันล่ะ ธรรมดาใครจัดการมันล่ะ?

ถ้าธรรมดาใครจัดการมัน เห็นไหม สิ่งต่างๆ อย่างนี้มันมีจริงตามความเป็นจริง นี่มันจริงตามสมมุติ มันสมมุติตามความเป็นจริง มันสมมุติทั้งนั้นแหละเป็นความจริงหมด เป็นสมมุติชั่วคราว แต่ใครบริหารจัดการมันไม่เป็น แต่ถ้าใครบริหารจัดการเป็น เห็นไหม สมมุติบัญญัติ พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้เลย ศีล สมาธิ ปัญญา

นี่ปัญญาที่ความเป็นอนัตตา ใครเป็นคนเห็นอนัตตา ใครเป็นคนรู้ถอนสิ่งที่เป็นอัตตา อัตตาอยู่ไหน? แล้วเป็นอนัตตานี่ อนัตตามันบดขยี้อัตตาตรงไหน ตรงไหนที่เป็นอัตตา! ตรงไหนที่เป็นอนัตตา! แล้วอัตตา-อนัตตานี่มันทำลายกันอย่างไร มันมีการทำลายแล้วทำลายอย่างไรมันถึงจะพ้นจากอัตตาและพ้นจากอนัตตา เห็นไหม

นี่พ้นไป มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ อรหัตตมรรค อรหัตตผล แม้แต่อรหัตตมรรค อรหัตตผล มันก็ยังไม่ใช่ มันเป็นสัมปยุต วิปปยุตไง มันเป็นระหว่างการสันดาป สิ่งที่เป็นผลเกิดจากสันดาปนั้นมันคืออะไร สิ่งที่การกระทำอย่างนั้นมันคืออะไรขึ้นมา จิตมีการกระทำอย่างไร แล้วผลการกระทำนั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร นี่ถ้าเป็นสมมุติไง บอกสมมุติมันก็เป็นสมมุติ สมมุติก็ปฏิเสธมัน ธรรมดา ธรรมชาติ ธรรมดา

กิเลสมันร้ายนัก มีกิเลสนะแล้วมีอุปกิเลส กิเลสอย่างพวกเรานี่ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นกิเลสหยาบๆ อุปกิเลส..ละเอียดลึกซึ้ง ความโอภาส สว่างไสว ความว่าง มันเป็นอุปกิเลส กิเลสอย่างละเอียดไง กิเลสอย่างละเอียดโดยที่มันไม่รู้สึกตัวไง กิเลสของเรานี่เราไม่รู้สึกตัวเลย เราไม่รู้เลย จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส ผ่องใส ธรรมะต้องเป็นธรรมชาติ ว่าง สบาย ผ่องใส.. กิเลสทั้งนั้น! กิเลสทั้งนั้น!

นี่แสงสว่างคืออวิชชา! จิตเดิมแท้คืออวิชชา! มันเป็นอวิชชาทั้งหมดเลย นี่ไงถ้ามันจริงตามสมมุติ ถ้าเรายึดตามความเป็นจริง เราต้องยึดความจริงตามสมมุติ.. สมมุติบัญญัตินะ การที่เรามาบวชพระกันนี่มันก็เป็นสมมุติอันหนึ่ง มันเป็นธรรมวินัยไง มันจริงตามสมมุติ พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้จากญัตติจตุตถกรรม ยกเข้าหมู่สงฆ์

คฤหัสถ์ เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้ “ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ยังไม่สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้ เราไม่ยอมนิพพาน” จนถึงสุดท้ายวันมาฆบูชา มารพยายามดลใจตลอด

“มารเอย บัดนี้ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเราเข้มแข็ง! สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้ อีก ๓ เดือนข้างหน้าเราจะนิพพาน”

พระพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับพวกเรานะ ฝากศาสนาไว้กับภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา นี่ฝากศาสนาไว้ที่นี่ เห็นไหม เรากล่าวแก้คำจาบจ้วง เรากล่าวแก้ต่างๆ เราพยายามค้นคว้าของเรา เราศึกษาของเราขึ้นมา ให้มันเป็นความจริงของเราขึ้นมา

นี่ถ้ามันจิตเดิมแท้ผ่องใส..ผ่องใสนะ ธรรมะเป็นธรรมดา ธรรมะเป็นธรรมชาติ

..ธรรมชาติใครๆ ก็รู้ ใครๆ ก็คิดได้ แต่ความเกิดความตายก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง แล้วความทุกข์ความยากก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง เพียงแต่เราผลักไส ถ้ามันบอกว่างมันก็เป็นความสุขไง เป็นอจินไตย ไม่มีที่สิ้นสุดหรอก มันจบสิ้นกระบวนการของมันไม่ได้

แต่ถ้ามันเป็นโสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค มรรคเป็นอย่างไร? กระบวนการของมันเป็นอย่างไร?

นี่ไม่มี.. ฉับพลัน ตรัสรู้ฉับพลัน รู้เองโดยชอบ

ชอบของกิเลสไง กิเลสมันเอามาอ้างอิงไง มันไม่เป็นตามความเป็นจริง ถ้าเป็นตามความเป็นจริง ธรรมะของพระพุทธเจ้านะ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วละล้าละลังเลยนะ “นี่จะสอนได้อย่างไร จะสอนได้อย่างไร?” ทั้งๆ ที่เตรียมความพร้อมมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะรื้อสัตว์ขนสัตว์

เราจะบอกว่ามันละเอียดลึกซึ้งกว่าความคิดพวกเรานี่หลายร้อยหลายพันเท่า เพราะมันมีสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา.. ภาวนามยปัญญาใครเห็นกระบวนการนั้นขึ้นมา เห็นไหม มันมีกระบวนการของมันนะ อาหารจะสุกได้ต้องมีกระบวนการของอาหารสุก จิตที่จะพ้นจากกิเลสได้ ต้องมีกระบวนการของมันในการรื้อถอนในการชะล้าง ไม่ใช่เป็นธรรมดาเหมือนกับตะกอนอยู่ในน้ำไง วางไว้มันก็ใสเป็นธรรมดา แล้วตะกอนมันพ้นไปไหม มันเป็นไปไม่ได้ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้กันเลยนะ

แต่เพราะเราเกิดมาในพุทธศาสนา แล้วเราอ้างอิงศาสนา.. อ้างอิง! อ้างอิงตลอด มันเป็นจินตมยปัญญา อ้างอิงว่าเป็นธรรมๆ แต่มันเป็นธรรมตามความเป็นจริงไหมล่ะ มันไม่เป็นตามความเป็นจริงนะ นี่สมมุติบัญญัติ

แล้ววิมุตติล่ะ! วิมุตตินี่มันพ้นออกไปแล้ว ผู้รู้จริง รู้กระบวนการของมันทั้งหมด จบสิ้นกระบวนการของมันแล้วอยู่ในหัวใจที่เป็นความจริงอันนั้น.. อันนั้นล่ะสำคัญมาก อันนั้นลึกซึ้งมาก แล้วผู้รู้ซึ้งอันนี้มันพูดกระบวนการนั้นถูกต้อง เพราะมันมีกระบวนการการกระทำ มันไม่ใช่ไม่มีกระบวนการการกระทำต่างๆ ปฏิเสธรื้อถอนตัดรากถอนโคนความดีนะ ตัดรากถอนโคนจิต ตัดรากถอนโคนสิ่งที่จะเป็นผู้รับรู้ ตัดรากถอนโคนสิ่งที่ได้คุณงามความดี ว่างๆ ธรรมดา ธรรมชาตินะ ตายเปล่า..

เกิดมาพบพุทธศาสนาแล้ว แล้วได้ประพฤติปฏิบัติ แล้วได้บวชได้เรียนแล้วนะ ให้มันได้ความจริงขึ้นมา เกิดในพุทธศาสนาแล้วให้มันได้ความจริง เราอยู่กับความจริง อย่าไปอยู่กับความเล่ห์กลในหัวใจของเรา เล่ห์กลในหัวใจของเรานะ เล่ห์กลของเราชอบความสะดวกสบาย ชอบสิ่งที่มันเรียบง่าย

ศาสนานี้เรียบง่ายมาก แต่เรียบง่ายในความเพียรชอบ เรียบง่ายโดยเอาชนะตนเอง ไม่ใช่เรียบง่ายโดยที่ไม่เอาใครเลย แม้แต่ตนเองก็ละทิ้งมันไป ถอนรากถอนโคนจิตใจของเรา ไม่มีสิ่งใดเป็นประโยชน์กับเราเลย

ทั้งๆ ที่ว่าเป็นอริยทรัพย์ การเกิดเป็นอริยทรัพย์เพราะจิตนี้เป็นนามธรรม ถ้าไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์มันก็เกิดเป็นวิญญาณ เป็นทิพย์ เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม มันไม่มีร่างกาย นี่เกิดเป็นเรา สิ่งที่จับต้องได้เป็นประโยชน์กับเรา แล้วพบพุทธศาสนา แล้วเราจะทำอย่างไรให้เป็นประโยชน์กับเรา เพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง